เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ มิ.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ มาทำบุญ บุญกุศล บุญคือความสุขใจ ความสุขใจ ความสุขหาได้ที่ไหน มันมีแต่ความทุกข์ ความทุกข์หัวใจ เห็นไหม น้ำไหลลงต่ำ คำว่า “น้ำไหลลงต่ำ” ธรรมชาติของมันต้องไหลไปที่ต่ำ เป็นธรรมดาของน้ำ แต่หัวใจของคนนะ น้ำใจของคนถ้าเวลามันชักให้สูงขึ้น มันจะชักให้สูงขึ้นด้วยศีลธรรม

ศีลธรรมจริยธรรม ศีลธรรมมันเกิดขึ้นมาได้จากที่ไหน ศีลธรรมมันเกิดขึ้นมาจากการกระทำ จากการกระทำนะ จิตใจเราเสียสละ จิตใจเราคิดแต่สิ่งที่เป็นคุณงามความดี เราให้เขา เราให้เขาเพราะอะไร ให้เขามันเป็นผลบุญของเรา ให้เขา ให้ความสะดวก ให้วัตถุเขาเพื่อให้เขาดำรงชีวิต เพื่อให้เขามีความสะดวกสบาย แต่ของเราล่ะ เราสะดวกสบายด้วยความประหยัดมัธยัสถ์ของเราไง

ดูสิ เวลาพระบิณฑบาตมา ได้มาด้วยความมักน้อย ได้มาด้วยความสันโดษ ความสันโดษคือได้มาตามมีตามได้ ได้มาด้วยความสันโดษ แต่เรามักน้อย เราฉันพอประมาณ เราฉันเพื่อหยอดน้ำมันล้อเกวียนไม่ให้มันมีเสียงดังออดแอดขึ้นไป เรารักษาไว้ รักษาชีวิตนี้ไว้ไง เห็นไหม มักน้อย ยังสันโดษอีก ถ้าเราสันโดษของเรา สันโดษเพื่อดำรงชีวิต เราจะดูแลหัวใจของเราไง

หัวใจมันดูแลยาก มันดูแลยากเพราะเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นความรู้สึกนึกคิดมันส่งออกตลอดเวลา แต่ถ้าส่งออกตลอดเวลา เราจะกำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิเพื่อรักษาใจของเรา ดูสิ เวลาเด็กน้อย กว่ามันจะโตขึ้นมาแต่ละคน มีลูกคนหนึ่งจนไป ๗ ปี เราต้องดูแลรักษาตลอดตั้งแต่อ้อนแต่ออกขึ้นมากว่าจะเจริญเติบโตขึ้นมา เวลาเด็กมันโตขึ้นมามีสัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพด้วยความถูกต้องของเขา พ่อแม่มีความสุข เพราะลูกเรามีความสุข

นี่เหมือนกัน เราจะดูแลหัวใจของเรา พระที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ฉันแต่น้อยๆ เพราะอะไร เพราะว่าถ้าฉันมาก ธาตุขันธ์มันทับจิต คนเราถ้ามันสะดวกสบาย มันมีความสุขของมัน กินอิ่มนอนอุ่นขึ้นมามันจะคิดแต่เรื่องโลกๆ ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเรามีสติปัญญา มันจะคิดของมันอยู่อย่างนั้น ธรรมชาติมันคิดของมันอยู่อย่างนั้น เราตั้งสติของเราไว้ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเราไว้ เรารั้งไว้ รั้งไว้มันก็รั้งไว้ไม่อยู่ เพราะธาตุขันธ์มีกำลังของมัน

เราผ่อนอาหารๆ ผ่อนอาหารเพื่อเหตุนี้ไง ผ่อนอาหารเพื่อว่า ถ้าดูแลรักษาง่าย เพราะมันไม่มีกำลังจนเกินไป แต่เวลาเราจะอดอาหาร เห็นไหม กิเลสเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา เพราะเรากินเราก็มีความสุขไง เรากินเราก็กินอิ่มนอนอุ่น แล้วเรามาผ่อนทำไม ผ่อนให้มันเป็นความทุกข์ความยากไปทำไม ถ้าผ่อนเป็นความทุกข์ความยาก นี่เหรียญมันมีสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นความดี ด้านหนึ่งมันก็มีแต่ความทุกข์ ด้านหนึ่งมันก็เป็นบุญกุศล ด้านหนึ่งเป็นอกุศล ด้วยความไม่รู้เท่าของมัน

เวลาเราผ่อนอาหารๆ ผ่อนอาหารมันมีความหิวความกระหายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความหิวกระหาย จิตใจ ธาตุขันธ์มันไม่มีกำลัง มันไม่ทับหัวใจให้อยู่ในอำนาจของมัน ถ้ามันไม่ทับหัวใจให้อยู่ในอำนาจของมัน นี่น้ำใจๆ น้ำใจจะชักน้ำให้สูงขึ้น น้ำใจมันจะชักตัวเองให้สูงขึ้น สูงขึ้นที่ไหน สูงขึ้นถ้ามันมีสติมีปัญญาขึ้นมา รักษาใจของเรา ถ้าใจเรามีความสงบ เราทำบุญกุศลขึ้นมา เราอุทิศส่วนกุศล อุทิศส่วนกุศลที่ไหน

นี่เราทุกข์เรายาก แต่เวลาเราเสียสละขึ้นมา สิ่งนี้เราเสียสละ เราเป็นผู้ให้ ถ้าเป็นผู้ให้ จิตใจของเรามันปลอดโปร่ง จิตใจเราปลอดโปร่ง อุทิศส่วนกุศล อุทิศความรู้สึกอันนี้ เห็นไหม เวลาเขาบอกว่าเวลาอุทิศส่วนกุศลที่จะได้บุญกุศลมากคือเวลาภาวนา ถ้าจิตมันสงบแล้ว จิตสงบมันมีความสุข มันได้สัมผัสอันนั้น มันเอาสิ่งนั้นอุทิศกุศลไปได้

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราปฏิบัติขึ้นมา กุศลๆ กุศลเกิดจากใจ กุศลเกิดจากหัวใจของเรา หัวใจของเรามันจะชักหัวใจของเราให้สูงขึ้นๆ ถ้ามันสูงขึ้น เห็นไหม น้ำไหลลงต่ำทั้งนั้นแหละ ยิ่งกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่งๆ มันดึงหัวใจให้อยู่ในอำนาจของมัน ให้อยู่ในตัณหาความทะยานอยากครอบงำหัวใจ มันชักลากไปหมดแหละ แล้วเราจะฝืนมันๆ เราต้องฝืนมัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ เสียสละมา เสียสละชีวิต เสียสละทุกอย่างมาเลย ทำไมไม่เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาล่ะ ทำไมเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลารื้อค้นๆ ต้องไปรื้อค้นกับเจ้าลัทธิต่างๆ ศึกษาๆ

ด้วยการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้ด้วยใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง มีการกระทำอันนั้นไง ถ้าการกระทำอันนั้นมันทำขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมา สิ่งที่การกระทำนั้น นี่มัคโคๆ ทางอันเอก ทางที่จิตใจจะก้าวเดินไป ถ้าก้าวเดินไป เราทำเพื่อประโยชน์อันนี้ เราทำเพื่อประโยชน์อันนี้ เราพยายามทำเพื่อประโยชน์อันนี้ เราจะชักหัวใจเราให้สูงขึ้น ชักหัวใจให้สูงขึ้น

ฉะนั้น เวลาชักหัวใจให้สูงขึ้น ดูสิ เวลาพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล พระสีวลีมีบุญกุศล ดูสิ ทานรองจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุคตะเข็ญใจเวลามาบวชแล้วเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาไม่เคยฉันข้าวอิ่มเลย นี่มันเสมอกันด้วยหัวใจ มันเสมอกันด้วยการเป็นพระอรหันต์ แต่มันแตกต่างกันด้วยอำนาจวาสนาบารมี เห็นไหม อำนาจวาสนาบารมีของพระสีวลี พระสีวลีทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ? เขาทำของเขามา เขาสละของเขามา เขาสร้างสะสมของเขามา เวลามีบุญกุศลมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นพระอรหันต์ขึ้นไป ลาภสักการะมันมาด้วยการกระทำ มาด้วยพันธุกรรมของจิต จิตมันได้สร้างสมมา

เวลาพระอรหันต์ที่เวลาทุกข์เวลายากขึ้นมา เวลาทุกข์เวลายากขึ้นมาเราก็กระเสือกกระสนของเราไป เราก็ทำคุณงามความดีของเราไป ทำคุณงามความดีที่ไหน เพราะเราทุกข์เรายาก จะเอาอะไรไปทำความดี เราก็ทำความดีในหัวใจของเราไง รักษาหัวใจของเราไง ถ้าใจของเรามันทำขึ้นมามันก็มีเชาวน์มีปัญญาเหมือนกันไง แต่อำนาจวาสนาบารมีมันขี้ทุกข์ขี้ยากไง เวลามันสิ้นสุดแห่งทุกข์ มันไม่เคยกินข้าวอิ่ม ไม่เคยกินข้าวอิ่มแม้แต่มื้อเดียว แม้แต่มื้อเดียว พระสารีบุตรมาจับบาตรให้มื้อแรกที่ฉันข้าวอิ่ม แล้วก็นิพพานวันนั้นเลย

เวลามันเป็นที่อำนาจวาสนา เราจะขวนขวายทางโลก เขาว่าแข่งอำนาจวาสนากันไม่ได้ อำนาจวาสนาใครจะแข่งกับใคร ความแข่ง จังหวะและโอกาสมันมาของมันอย่างนั้น แต่ของเรา เราปากกัดตีนถีบของเรา เราทำของเรา ถ้าเราไปน้อยเนื้อต่ำใจว่าเราไม่มีอำนาจวาสนาเหมือนคนอื่น

ไม่มีอำนาจวาสนาเหมือนคนอื่น ทำไมเรามีศรัทธาล่ะ เขามีอำนาจวาสนา เรือนของเขาใหญ่ เขามีอำนาจวาสนา เขามีบารมีของเขา เขามีสังคมของเขา เวลาเขาจะประพฤติปฏิบัติของเขา เขาละล้าละลังไปหมด ของเรา เรามีตัวคนเดียว ถ้าเรามีตัวคนเดียว เวลาเราจะปฏิบัติเราก็อยู่โคนไม้ของเรา เราจะไม่ไปคิดถึงใคร เราคิดถึงแต่ต้นไม้นี่ คิดถึงความเป็นอยู่ของเรานี่ ถ้าคิดถึงความเป็นอยู่ เห็นไหม เรือนเราหลังเล็ก เราจะทำความสะอาดมันก็ง่ายขึ้น ถ้าง่ายขึ้น เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เวลามันสะอาดบริสุทธิ์ มันสะอาดบริสุทธิ์เหมือนกัน นี่สิ่งที่เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ แต่อำนาจวาสนาบารมีของคนมันแตกต่างกัน นี่แข่งอำนาจวาสนา ถ้าแข่งอำนาจวาสนา สิ่งนั้นเราแข่งไม่ได้ แต่เรามีสติมีปัญญา เราฝักใฝ่ของเรา เราจะเอาคุณงามความดีของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา

หน้าที่การงานเราก็ทำนะ เราทำหน้าที่การงานเพื่อเลี้ยงชีพๆ เลี้ยงชีพไว้ทำไม เลี้ยงชีพไว้จะมีชีวิตอยู่ ถ้ามันมีศรัทธามีความเชื่อ เขาเลี้ยงชีพของเขา เขามีความสุขของเขา เห็นไหม เขาบอกว่าเขาเป็นคนดี เขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับใครเลย เขาจะสร้างคุณงามความดีของเขา...มันก็ดีของโลกๆ ไง แต่ดีของโลก ดีของโลกก็เวียนว่ายตายเกิดไง ความดีของเรา เราดีของเรา เรารักษาใจของเรา ถ้ามันรักษาทำสมาธิได้ เวลาเกิดเป็นพรหม ไปเสวยภพชาติ พอหมดอายุขัยมันก็เวียนมา แล้วเวียนมาก็เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็เกิดในนรกอเวจี มันก็เวียนมา มันเวียนมา นี่ดีของโลกไง ความดีของโลกมันมีเท่านี้

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา พ้นจากวัฏวน กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันพ้นจากอันนั้นไป มันพ้นไปจากที่ไหน? มันพ้นไปด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยเชาวน์ปัญญา ถ้าเชาวน์ปัญญามันเกิดขึ้น มันทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้วพิจารณาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง

การเห็นตามความเป็นจริงนั้นเพราะจิตมันสงบ จิตของเรานะ จิตเราสงบระงับจากภาระทางโลก ถ้าคนปฏิบัติ คนมีเรือนหลังใหญ่ มันคิดไปหมด วิตกวิจารณ์ทุกอย่างทั่วไปหมดเลย เรายังไม่ได้ทำสิ่งใดเรียบร้อย แล้วเราจะมานั่งสมาธิภาวนา คนที่เรือนหลังเล็กเขาก็ทำความสงบของใจเข้ามา แล้วเขาพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม เพราะจิตของเขาจริง เพราะจิตของเขาจริง จิตเขาไม่แบกโลกมา

ถ้าเขาแบกโลกนะ แบกโลกคือสัญชาตญาณ แบกโลกคือจินตนาการ แบกโลกคือความรู้ของเขา ถ้าความรู้ของเขา นี่จิตมันเสวยอารมณ์ จิตมันอารมณ์สอง คือจิตเป็นธาตุรู้ แต่มีความรู้สึกนึกคิดอันนี้มันเกิดมาจากจิต มันเป็นสอง มันแบกมันหามกัน เวลามันสลัดทิ้ง สลัดทิ้งความรู้สึกนึกคิดทั้งหมด มันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติที่รู้ จิตมันสงบเข้ามา นี่จิตมันเป็นความจริงขึ้นมาเพราะมันไม่แบกเรื่องโลกๆ ไม่แบกว่าคนเรือนหลังเล็ก คนเรือนหลังใหญ่ คนมีความวิตกกังวลมาก นี่เรื่องโลกๆ ทั้งนั้นแหละ เรื่องโลกๆ มันก็เกิดดับ มันก็มีความรู้สึกนึกคิดของมันเป็นธรรมดา

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา ทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันจริงไง มันสงบจริงๆ พอสงบจริงๆ ความสงบ เรามีความสงบ จิตเรามีความสุข พอมีความสงบ ความสงบระงับ มันมีบุญกุศลของจิตดวงนั้น ถ้าจิตดวงนั้นออกเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เพราะจิตมันจริง มันจะเห็นตามความเป็นจริง ถ้าจิตมันไม่จริง จิตมันแบกโลกไว้ จิตมันเรือนหลังเล็ก เรือนหลังใหญ่มันมีความรู้สึกนึกคิดอยู่แล้ว ถ้ามันคิดเรื่องเรือนหลังใหญ่มันก็คิดเรื่องปัญหาที่รับรู้นั้น ถ้ามันเปลี่ยนจากปัญหานั้นเป็นกาย เป็นเวทนา เป็นจิต เป็นธรรมมันก็เปลี่ยน เห็นไหม

เรือนหลังใหญ่มันคิดแต่ภาวะรับผิดชอบของผู้ที่รับผิดชอบ เวลามันจินตนาการให้เป็นกาย เป็นเวทนา เป็นเวทนา เป็นจิต เป็นธรรม มันถึงบอกว่าจิตมันไม่จริงไง เพราะจิตมันยังแบกหามอยู่ของมัน มันก็เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมเหมือนกัน แต่เห็นโดยจินตนาการ เห็นโดยที่เรานึกภาพนั้นขึ้นมา

แต่ถ้าจิตมันสงบขึ้นมาแล้วมันเห็นเป็นนิมิต เห็นเป็นความจริงของมัน มันไม่มีเชื้อไขเพราะจิตมันจริง พอจิตมันจริง จิตมันจริงมันละทิ้งให้ใจสงบเข้ามา เวลามันออกรู้ออกเห็นของมัน ออกรู้ออกเห็นเพราะอะไร เพราะมันจะสำรอก มันจะคาย คายความผูกพันในจิตใต้สำนึก คือสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิด

ความเห็นผิด ใครเป็นคนเห็นผิดล่ะ

เราสอนกันทางโลกนะ คนนั้นเห็นผิด เราพยายามบอกเขา เราพยายามใช้เหตุผลกับเขา เขาก็เห็นความถูกต้องได้ แต่ความถูกต้องด้วยเหตุด้วยผล แต่เวลาความเห็นผิดของเรา อวิชชา พญามารมันซึมซับอยู่ที่ใจ มันเป็นอนุสัย มันเป็นมา เราจะเห็นถูกขนาดไหนมันก็เห็นถูกแบบภาระเรือนหลังเล็ก เรือนหลังใหญ่ ความเห็นถูก-เห็นผิดมันก็เห็นถูก-เห็นผิดจากภายนอก เป็นธรรมสาธารณะ เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเหตุด้วยผล

เวลาหลวงตาท่านบอกว่า “เหตุและผลรวมกันเป็นธรรม”

ต้องมีเหตุมีผล เราต้องคิดด้วยเหตุด้วยผลขึ้นมา เวลาผลมันรวมลงเป็นธรรมๆ เป็นธรรมคือมันปล่อยวางไง ด้วยเหตุด้วยผลมันก็ไม่ไปแบกไปหาม ด้วยเหตุด้วยผลมันก็ไม่ไปยึดไปถือ ด้วยเหตุด้วยผล นี้มันด้วยเหตุด้วยผล ด้วยปัญญาอบรมสมาธิ ด้วยเหตุด้วยผล สิ่งที่จิตมันเรือนหลังเล็ก เรือนหลังใหญ่ เพราะมันเป็นเรื่องของขันธ์ เรื่องของความรู้สึกนึกคิดที่มันเกิดมากับใจ ที่เป็นจริตนิสัย คนจริตนิสัย โทสจริต โมหจริต โลภจริต ความมีจริตสิ่งใดตรงกับจริตนั้นมันก็ทำให้จิตใจนั้นมีอารมณ์ความรู้สึก

ถ้ามันมีปัญญา ปัญญามันแยกแยะอย่างไร สิ่งที่มันปล่อยวางขึ้นมามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิมันเป็นการตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรึกในเหตุในผล ในสัจจะ ในทางทฤษฎี เราตรึกในอย่างนั้น มันไม่เป็นเนื้อแท้ ถ้าเป็นเนื้อแท้ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันสงบระงับเข้ามาเป็นเนื้อแท้ เนื้อแท้เพราะอะไร เพราะว่าเราจะพูดสิ่งนี้ออกมาเป็นทางทฤษฎีได้ยากมาก ถ้าจิตใครสงบ โอ้โฮ! มันมีสติมีปัญญา เราบริหารจัดการจิตของเรา มันเป็นความมหัศจรรย์ เพราะอะไร เพราะว่าอย่างเรา เราควบคุมตัวเองไม่ได้ เราควบคุมความคิดเราไม่ได้ เราควบคุมสิ่งใดไม่ได้เลย พอมันสงบเข้าไป มีสติปัญญา มันควบคุมได้หมดเลย

ถ้าควบคุมได้หมดเลย เรารำพึงไป รำพึงไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เพราะจิตมันจริง จิตมันจริง เวลาเห็นจริงมันก็เป็นมรรค มันก็เป็นโลกุตตรธรรม ที่ว่าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เหตุและผลมันเป็นธรรม มันด้วยเหตุด้วยผลเหมือนกัน แต่มันเป็นโลกียธรรม มันเป็นธรรมเพราะสัญชาตญาณของมนุษย์ มันเป็นธรรมเพราะต้นทุนของเรา พอต้นทุนของเรามันสงบเข้ามาแล้ว “ศีล สมาธิ ปัญญา”

ถ้าเกิดมันเกิดสมาธิขึ้นมา ความเป็นสมาธิ เห็นไหม เพราะคนที่ไม่มีอำนาจวาสนา พอเป็นสมาธิก็บอกนี่นิพพาน เพราะมันว่าง มันมีความสุขนะ มันบอกว่านี่คือนิพพาน นิพพานของคนดิบๆ ไง นิพพานของกิเลสไง มันยังไม่สำรอกคายของมันไง

ถ้ามันสงบระงับเข้ามา มันจับต้องได้ มันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม แล้วมันพิจารณาของมัน พิจารณามันก็ปล่อย มันก็สำรอก มันสำรอกที่ไหน? สำรอกที่มันขนลุกขนพอง มันเป็นอย่างนี้ ทำไมมันลึกซึ้งขนาดนี้ แล้วทำไมเราโง่ได้ขนาดนี้

แต่เดิมเราแสวงหา ปากกัดตีนถีบเพื่อแสวงหาธรรม ธรรมอย่างนั้นมันเป็นธรรมสาธารณะ ธรรมะเป็นธรรมชาติ เขาว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ เราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาตินะ การเวียนว่ายตายเกิดนี้เป็นธรรมชาติ แต่เวลาถ้าเรารู้จริง เราสลัดทิ้งหมดเลย

นี่ความเป็นธรรมชาติบังมันไว้ แล้วเวลาถึงที่สุด เวลามันทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายผู้รู้ผู้เห็น มันทำลายหมด มันทำลายผู้รู้ ยิ่งทำลายยิ่งสำรอก ยิ่งคาย ยิ่งสะอาดบริสุทธิ์ สะอาดบริสุทธิ์แบบธรรมนะ ไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์แบบโลก สะอาดบริสุทธิ์เขาต้องวัดค่าๆ ไง

เวลาโลก เห็นไหม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไม่มี แต่ธรรมมะมันยิ่งกว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มันต้องสะอาดบริสุทธิ์เต็มที่ของมัน ถ้ามี ๐.๐๑ อันนั้นล่ะ อวิชชามันหลบอยู่ที่นั่น พอจิตมันเสื่อมนะ มันคลายตัวออกมานะ มันครอบงำได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย เพราะมันละเอียด

แต่ถ้าเราพิจารณาของเรา ถ้ามีที่ไหน มันมีสิ่งใดจับต้องได้ จะต้องเข้าไปรื้อค้น จะต้องเข้าไปพิจารณา จะต้องไปถอดไปถอน ทำความจริงของใจดวงนั้นตลอดไป สิ่งนี้เป็นการกระทำของใจ เหตุและผล เหตุและผลตามความเป็นจริง เหตุและผลเป็นปัจจัตตัง เหตุและผลเป็นสิ่งที่เกิดจากสภาวะ เกิดจากดวงใจดวงนั้น

“จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง”

ถ้าใจดวงนั้นยังไม่สามารถเข้าใจได้ ใจดวงนั้นไม่สำรอกคายกิเลสได้ มันก็อ้างทฤษฎีไปเรื่อยล่ะ อ้างสัจธรรม โลกียปัญญา สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล แต่เป็นเหตุเป็นผลทางโลก เป็นเหตุเป็นผลที่ยอมรับกัน แต่ความเป็นเหตุเป็นผลระหว่างธรรมกับกิเลสที่มันยอมรับกัน ความเป็นเหตุเป็นผลของธรรมที่เข้าไปชำระล้าง ไปสำรอก ไปคายอันนี้ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก

เราเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง สัตตะผู้ข้อง เราข้องในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยากรู้ อยากเห็น อยากพ้น อยากไป เราก็ข้องอยู่ แต่ข้องแบบนี้เป็นมรรค เป็นมรรคคือแสวงหา มีการกระทำ ไม่ใช่ข้องอยู่แล้วลังเลสงสัย ข้องอยู่แล้วไม่มีการกระทำ ข้องอยู่แล้วไม่สนใจ ไอ้ข้องอย่างนั้นมันก็ข้องแบบวัฏฏะ มันจะเวียนไปไม่มีที่สิ้นสุด ไอ้เราข้องของเรา สัตตะ สัตว์ผู้ข้อง เราข้องในธรรมะ เราอยากรู้ อยากเห็น เรามีการกระทำเป็นมรรค เป็นมรรคคือการพิสูจน์ การตรวจสอบ แล้วมันจะเข้าสู่มัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุล ความพอดีของใจ ถ้าใจสมดุลพอดี มันสำรอกคายอวิชชา คายความไม่รู้ออกจากใจ อันนั้นจะเป็นคุณธรรมของเรา เอวัง